8 ทริกเลือกโซฟาแต่งห้องนั่งเล่นให้เป๊ะปัง สวยลงตัว รับแขกได้ไม่อายใคร !
จะซื้อโซฟาสักตัวต้องดูอะไรบ้าง สีอะไรดี เลือกอย่างไรให้เหมาะกับห้องนั่งเล่น มาดู 8 ทริกเลือกแบบโซฟาง่าย ๆ สำหรับตกแต่งห้องนั่งเล่นกันค่ะ
เพราะโซฟาเป็นไอเทมเด็ดประจำห้องนั่งเล่น ฉะนั้นการเลือกซื้อโซฟาแต่ละครั้ง จึงต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากได้โซฟาไม่ดี ก็คงจะอายแขกที่มาเยี่ยมเยียนแย่ อ๊ะ ๆ ๆ ว่าแต่หลายคนสงสัยใช่ไหมล่ะคะว่าวิธีเลือกโซฟาที่ดีเป็นอย่างไร วิธีซื้อโซฟาต้องพิจารณาอะไรบ้าง บอกเลยค่ะว่าคุณมาถูกทางแล้ว เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมเคล็ดลับเลือกโซฟาแต่งห้องนั่งเล่นมาฝากแล้ว
1. วัดพื้นที่และกำหนดขนาดก่อนซื้อ
ก่อนจะเลือกซื้อโซฟาทุกครั้ง แนะนำให้วัดพื้นที่ที่จะนำมาตั้งก่อน ทั้งความยาว ความลึก และความสูง เมื่อไปถึงหน้าร้านก็จะได้ตัดสินใจเลือกแบบโซฟาที่เข้ากับห้องนั่งของเราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ก็อย่าลืมเช็กขนาดของประตู บันได หรือทางเดินที่ต้องขนย้ายโซฟาผ่านด้วย เพราะถ้าหากเรารู้ว่าทางเข้า-ออกมีขนาดจำกัด ก็จะช่วยให้เลือกลักษณะของโซฟาได้อย่างเหมาะสม ลดปัญหาการขนส่ง เช่น โซฟาพนักพิงต่ำหรือโซฟาแบบถอด-ประกอบได้นั่นเอง
2. เลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งาน
เมื่อได้ขนาดของโซฟาที่ต้องการแล้ว ต่อไปก็ต้องมองหาประเภทของโซฟาที่ต้องการ โดยแบบโซฟาที่ดีควรมีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน มีจำนวนที่นั่งที่พอดีกับคน และมีขนาดเข้ากันกับพื้นที่ห้อง ซึ่งประเภทของโซฟาที่คนส่วนใหญ่นิยมเลือกใช้ มีดังนี้
- แบบโซฟาเบด : โซฟาที่สามารถนั่งชิลก็ได้ ปรับนอนก็ดี รูปทรงเรียบง่าย สวยงาม เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัด จึงต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชันเสริมเพื่อการใช้งานที่คุ้มค่า แถมยังเหมาะสำหรับคนที่มักจะมีเพื่อนมานอนเล่นที่บ้านเป็นประจำด้วย
- แบบโซฟา 2 ที่นั่ง : โซฟาที่ออกแบบมาเพื่อให้คน 2 คนนั่งได้อย่างสบาย แต่ถ้าหากเป็นเด็กหรือตัวเล็ก ก็สามารถรองรับได้มากกว่านั้น ฉะนั้นจึงเหมาะกับคู่รัก ครอบครัวขนาดเล็ก หรือคนที่ไม่ค่อยมีแขกมาบ้าน
- แบบโซฟา 3 ที่นั่ง : โซฟาที่ออกแบบมาเพื่อให้คน 3 คนนั่งได้อย่างสบาย แต่ถ้าหากเป็นเด็กหรือตัวเล็ก ก็สามารถรองรับได้มากกว่านั้น ขนาดกว้างขวางกำลังดี แถมยังสามารถนอนเล่นได้ จึงได้รับความนิยมมากที่สุด แต่จะเหมาะกับห้องที่มีพื้นที่มากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากใครอยากให้โซฟามีที่นั่งเยอะ แต่สวนทางกับขนาดห้องที่มีจำกัด ขอแนะนำให้เลือกใช้เป็นแบบโซฟาที่มีดีไซน์เรียบง่าย เพราะถึงแม้โซฟาที่มีดีไซน์หรูหราจะสวยงาม แต่ก็กินพื้นที่มากกว่าปกติแถมยังใหญ่เทอะทะ ทำให้ห้องดูแคบลงได้
3. สไตล์ของโซฟาก็สำคัญไม่แพ้กัน
นอกจากขนาดและประเภทแล้ว สไตล์ของโซฟาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ที่สำคัญคือมีให้เลือกหลากหลายสไตล์มาก โดยแต่ละสไตล์จะมีลักษณะและจุดเด่นแตกต่างกันออกไป เช่น
- คลาสสิกดั้งเดิม (Classic Traditional) : โซฟาสไตล์นี้จะเน้นความเรียบง่าย น่ามอง ไม่ธรรมดา และไม่หรูหราจนเกินไป เหมาะกับคนทุกยุค ทุกเพศ ทุกวัย จึงนิยมใช้ในบ้านที่มีสมาชิกจำนวนมาก หรือบ้านที่ต้องการความสงบและอบอุ่น
- ยุคกลาง (Mid Century) : โซฟาสไตล์นี้เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะและการใช้งาน จึงมีรูปทรงที่เรียบง่าย แต่สีสันสวยงามสะดุดตา เหมาะกับคนที่อยากให้ห้องนั่งเล่นสดชื่นและมีชีวิตชีวา
- ร่วมสมัย (Contemporary) : โซฟาสไตล์นี้จะค่อนข้างเรียบง่าย ทั้งดีไซน์และโทนสีเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ห้องนั่งเล่นอบอุ่น ผ่อนคลาย และน่านั่งพักผ่อน
- อินดัสเทรียล (Industrial) : โซฟาสไตล์นี้ค่อนข้างโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ส่วนใหญ่ทำมาจากไม้และโลหะ อีกทั้งยังมีโทนสีที่เป็นกลางหรือเป็นธรรมชาติเหมือนกันกับโซฟาสไตล์ร่วมสมัย
- สแกนดิเนเวียน (Scandinavian) : โซฟาสไตล์นี้มักจะมาพร้อมกับการออกแบบที่เรียบคลีนและขาไม้สีธรรมชาติ จุดเด่นอยู่ที่ความสวยงาม แข็งแรง แถมยังให้ความรู้สึกพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป สามารถนำไปแต่งบ้านได้หลากหลาย แต่จะดูสดใสมากขึ้น ถ้าอยู่ท่ามกลางเฟอร์นิเจอร์ที่มีโทนสีสว่าง
- กลางแจ้ง (Outdoor) : โซฟาสไตล์นี้เหมาะจะตั้งไว้นอกบ้าน ส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่มีคุณภาพสูงและทนต่อทุกสภาพอากาศ จึงค่อนข้างแข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้นานเป็นพิเศษ
4. มองหาวัสดุหุ้มโซฟาที่สวยงามตรงใจ
แน่นอนว่าทุกวันนี้มีวัสดุหุ้มโซฟาให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละชนิดก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ฉะนั้นต้องพิจารณาให้รอบคอบ พร้อมทั้งเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง ดังนี้
- โซฟาผ้า : เป็นโซฟาที่คลาสสิกที่สุด ใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัย พื้นผิวค่อนข้างนุ่มและเนียน ที่สำคัญเข้าได้กับทุกสไตล์ และทำความสะอาดได้ง่าย จึงเหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็ก สัตว์เลี้ยง หรือบ้านที่เน้นเฟอร์นิเจอร์แนวธรรมชาติเป็นพิเศษ
- โซฟากำมะหยี่ : เป็นโซฟาที่ให้ความรู้สึกหรูหรา อลังการ พื้นผิวค่อนข้างเนียนเรียบ น่าสัมผัส ส่วนจุดเด่นอยู่ที่เฉดสี ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ฉูดฉาดไปจนถึงธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถทนต่อรอยคราบได้พอสมควรด้วย
- โซฟาหนัง : เป็นโซฟาที่แข็งแรง ทนทาน จึงเหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยง แต่สามารถเกิดรอยได้ง่าย จึงต้องระวังเรื่องการขีดข่วน อย่างไรก็ตามโซฟาชนิดนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ เพราะไม่เก็บขน ผม และฝุ่น ทว่าจะทำความสะอาดยาก และต้องดูแลรักษามากเป็นพิเศษ
5. พิจารณาสีให้เหมาะกับห้อง
สีของโซฟาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา โดยจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ สีโทนกลาง ที่จะช่วยให้ห้องนั่งเล่นรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ต้องการพักผ่อน กับสีฉูดฉาด ที่จะช่วยให้ห้องนั่งเล่นโดดเด่น สะดุดตา รู้สึกสดชื่น สดใส ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ชอบความกระปรี้กระเปร่า
6. ใส่ใจกับโครงสร้างภายในเป็นพิเศษ
หลังจากเลือกลักษณะภายนอกได้สวยงามตรงใจแล้ว ก็อย่าลืมใส่ใจกับโครงสร้างภายในด้วย เพราะการซื้อโซฟาที่โครงสร้างแข็งแรง ทนทาน และมีประสิทธิภาพ จะทำให้โซฟาอยู่กับเราได้นานขึ้นและคุ้มค่ากับเงินทุกบาทที่เสียไป โดยโซฟาที่ทำจากโครงสร้างไม้ก็ยืนหนึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ต้องอย่าลืมเช็กประเภทของไม้ ส่วนประกอบอื่น ๆ รวมไปถึงประกันหลังการขายด้วย เพราะแม้โซฟาบางรุ่นจะมีราคาสูงกว่าแบบอื่น ๆ แต่หากมีประกันให้ตลอดอายุการใช้งานก็ถือว่าคุ้มมากทีเดียว
7. เลือกเบาะให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ไม่ใช่แค่โครงสร้างภายในเท่านั้น แต่วัสดุที่ใส่ในเบาะก็ต้องดีด้วย โดยเบาะที่ทำจากขนเป็ดหรือขนห่านจะให้ความสบาย แต่ต้องคอยตีให้ฟูอยู่ตลอด ส่วนเบาะที่ทำจากโฟมหรือเส้นใยก็จะแข็งแรง แต่แบนและเสียทรงได้ง่าย ฉะนั้นทีมงานจากเว็บไซต์ sofa.com ผู้ผลิตและจำหน่ายโซฟา แนะนำว่า ควรเลือกแบบโซฟาที่ใช้ทั้งขนเป็ดและโฟมผสมกัน เพราะขนนกจะช่วยให้เบาะนุ่ม ส่วนโฟมจะช่วยให้เบาอยู่ทรง ตัวอย่างเช่น โซฟาที่เบาะพนักพิงทำจากขนนก ส่วนเบาะนั่งทำจากโฟมหรือเส้นใยนั่นเอง
8. ลองใช้งานก่อนซื้อทุกครั้ง
ทั้งนี้โซฟาส่วนใหญ่จะมีความลึกของเบาะนั่งประมาณ 60 เซนติเมตร ส่วนความสูงประมาณ 45-50 เซนติเมตร ฉะนั้นเพื่อให้ได้โซฟาที่รองรับสรีระของคนในครอบครัวอย่างดีที่สุด ควรเช็กทั้งความกว้าง ความสูง ความลึก และความยาวของโซฟาให้ละเอียด และที่สำคัญควรให้สมาชิกในบ้านลองนั่ง และลองใช้งานให้ครบด้วย